12.9.53

ความสุขชั่วพริบตา @ สวนผึ้ง (Part 2)

      วันนี้เป็นวันที่ 2 ของการเดินทางไปเยือน สวนผึ้ง จ. ราชบุรี วันนี้ตั้งใจว่าจะตื่นแต่เช้าเพื่อไปดูหมอกสวยๆ และสูดอากาศบริสุทธิ์ยามเช้ากัน แล้วก็ไม่ผิดหวังจริงๆ เพราะตอนเช้าอากาศดีมาก เลยพากันเดินไปจุดชมวิวที่ทางรีสอร์ทปิดไว้ คงกำลังปรับปรุงแต่พวกเราก็พยายามปีนที่กั้นเข้าไป พอไปถึงด้านบนสุดก็ไม่ค่อยเห็นวิวอะไรมากนัก เพราะด้านหลังทางรีสอร์ทกำลังก่อสร้างบ้านสไตล์แอฟริกันเพิ่มเติม เลยไม่ได้ปรับปรุงจุดชมวิว เลยเดินกลับมาชมวิวบนดาดฟ้า "บ้านช้างแดง" ที่เราพักแทน สามสาว จอย เมษ์ จิ (แอนไม่ตื่นเพราะกลางคืนนอนไม่ค่อยหลับ) พวกเราเลยไปเดินเล่น และนั่งคุยกันบนดาดฟ้า ถกปัญหาชีวิตของกันและกัน และนัดกันว่าจะจัดทริป Anniversary ฉลองครบรอบการคบกันทุกๆ 5 ปี ปีนี้ก็เป็นปีที่ 12 อีก 3 ปีข้างหน้าพวกเราก็เป็นเพื่อนกันมา 15 ปีแล้ว แต่ยังไม่รู้ว่าจะไปฉลอง 15th Anniversary กันที่ไหนดี จะในประเทศ หรือต่างประเทศ ต้องดูโอกาสและเงินในกระเป๋าอีกที ^o^
...หมอกช่างงดงามและทำให้เยือกเย็น แสนจะเย็นสบายในยามเช้า...
เวลาทานอาหารเช้าของที่นี่ คือ 8.00 - 10.30 น. ประมาณแปดโมงกว่าๆ เราก็ออกไปทานอาหารเช้ากันที่ Lobby มีให้เลือก 2 อย่าง คือ ข้าวต้ม และไส้กรอก ไข่ดาว..
Check Out ออกจากรีสอร์ท แล้วตอนแรกกะว่าจะไปเล่นล่องแก่งกัน แต่พอไปถึงจริงๆ เป็นพายเรือคายัค ที่ดูแล้วลงไปต้องเปียกกันแน่ๆ เลยเปลี่ยนเป้าหมายไปเลี้ยงอาหารแกะ และถ่ายรูปกันที่ The Scenery Resort แทน เสียค่าอาหารเลี้ยงแกะ คนละ 40 บาท คนไปเที่ยวที่นี่ค่อนข้างเยอะ เพราะค่อนข้างเป็นที่รู้จัก เพิ่งได้ใกล้ชิดกับแกะ รู้สึกว่าแกะเชื่องและเป็นมิตรมากๆ น่ารักสุดๆ เป็นนายแบบให้ถ่ายรูปสบายเลย :D

แล้วเราก็แวะซื้อผลไม้หน้า The Scenery Resort กันสักพัก ที่สวนผึ้งนี่สับปะรดอร่อยมาก แนะนำให้ไปลองชิมและซื้อกลับบ้าน ฝรั่งก็อร่อยไม่แพ้กัน ^o^ แล้วค่อยไปหามื้อเที่ยงกินกันต่อที่ร้าน "ก๋วยเตี๋ยวไข่ต้มยำ" สูตรคุณยาย อยู่ตรงก่อนถึงทางเข้ารีสอร์ทต่างๆ ก๋วยเตี๋ยวรสชาติอร่อย ไม่ต้องปรุงเลย แต่เวลาไปต้องทำใจหน่อย เพราะคิดว่าลูกค้าแน่นร้านเกือบตลอดทั้งวัน ราคาชามละ 30 บาทจ้า

หลังจากอิ่มหนำสำราญกันแล้วก็มุ่งหน้ากลับสู่กรุงเทพฯ กลับไปใช้ชีวิตประจำวันของแต่ละคนตามปกติ ต่างเก็บภาพความประทับใจเอาไว้ในใจ เมื่อใดที่หวนคิดถึงก็มีความสุขขึ้นมาทุกครั้ง และเมื่อวันใดที่ต้องการเติมพลังใจ วันนั้นเราจะมาพบกันอีกครา...

ปล. "กูอยู่กับพวกมึง กูโคตรมีความสุขอะ ยังงี้เค้าเรียกว่ารักรึเปล่าอ่ะ" msg. จาก จิราภา หนึ่งในผู้ที่ทำให้การเดินทางครั้งนี้มีความหมาย

 

11.9.53

ความสุขชั่วพริบตา @ สวนผึ้ง (Part 1)

มีโอกาสได้ไปเที่ยวสวนผึ้ง จ. ราชบุรี หลังจากที่ The Gang ว่างตรงกัน ในวันเสาร์-อาทิตย์ที่ 11 - 12 กันยายน 2553 ทริปนี้เป็นทริปที่เรียกได้ว่าฮาทั้งขาไป ขากลับ กวน มึน โฮ ได้อีก ^o^ ผู้ร่วมทริปในครั้งนี้มี 4 สาว (สวย) จอย แอน เมษ์ จิ...ต่างคนก็ต่างมีหน้าที่ทำให้ทริปนี้ราบรื่นแตกต่างกันไป...
พวกเราเดินทางออกจากกรุงเทพฯ เวลา 9.00 น. แวะรับจอยที่สมุทรสาคร จิแนะนำทาร์ตเม็ดมะม่วง + ลูกเกด ที่ร้าน "วุ้นกรองแก้ว" บอกว่าอร่อยมาก คงหากินที่กรุงเทพฯ ไม่ได้ง่ายๆ ลองชิมดูแล้ว ทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า "อร่อยมาก" :P

ถึงราชบุรี เวลาประมาณเที่ยงเห็นจะได้ เลยแวะกินข้าวเที่ยงกันที่ร้าน "ครัวตะนาวศรี 2" ในอำเภอ สวนผึ้ง ตามคำแนะนำของ Driver ตอนที่พวกเราไปลูกค้าน้อยมาก รสชาติอาหารก็ธรรมดา ไม่หวือหวา มากเท่าไหร่ แต่ติดตรงที่เป็นมื้อแรกที่มาถึง แล้วก็หิวกันมากๆ เลยกินกันซะเต็มคราบเลย ^o^ อาหาร 4 อย่าง ราคา 370 บาทจ้า

จากนั้นเราก็แวะเที่ยว "บ้านหอมเทียน" อยู่ไม่ไกลจากที่ว่าการอำเภอสวนผึ้ง นักท่องเที่ยวเพียบตามที่คาดไว้เลย ที่นี่เป็นที่ผลิตเทียนหอม ตกแต่งแบบอาร์ตๆ แวะไปชมและถ่ายรูปกันพอหอมปากหอมคอ ไม่มีใครยอมควักเงินซื้อเทียนสวยๆ กลับมากันสักคน มีแต่จิที่ได้กาแฟ Cappuchino ที่ใส่ในแก้วไม้ไผ่ ในราคา 50 บาท
พอให้หายอยากคาเฟอีน 55

ออกจากบ้านหอมเทียนแวะเข้าที่พักเวลาประมาณบ่าย 2 ที่พักที่เราจองไว้ชื่อ พนาลี โฮม แอนด์ แคมปิ้ง รีสอร์ท เป็นรีสอร์ทท่ามกลางขุนเขาสไตล์แอฟริกัน จองไว้ประมาณ 1 เดือนล่วงหน้า ราคา 4,400 บาท รวมเตียงเสริม 1 เตียง และอาหารเช้า 4 คน หัองพักตกแต่งได้น่ารัก แต่ที่น่าดึงดูดมากกว่าห้องพักคือ วิวภูเขาโอบล้อมทุกๆด้าน และอากาศบริสุทธิ์ที่ไม่ร้อนและไม่หนาวจนเกินไป..
พอเก็บของเข้าที่พักเรียบร้อยก็ออกไปเที่ยวที่เที่ยวใกล้ๆ แวะไปอุทยานธรรมชาติวิทยา ในสมเด็จพระเทพฯ ชมเส้นทางศึกษาธรรมชาติ มีนิทรรศการเกี่ยวกับธรรมชาติต่างๆ เช่น กระบวนการเกิดน้ำพุร้อน การทำเหมืองแร่ และรายละเอียดเกี่ยวกับนกป่าหายาก ฯลฯ มีห้องสมุดเล็กๆ ให้ประชาชนเข้าไปศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมด้วย ดีจริงๆ ^__^ 
ถัดจากอุทยานธรรมชาติวิทยา คือ ธารน้ำร้อนบ่อคลึง พวกเราเตรียมตัวไปแช่น้ำแร่เต็มที่เลยไม่ได้เอากล้องเข้าไปถ่ายรูปด้านใน เสียค่าเข้าคนละ 5 บาท ถ้าต้องการแช่น้ำแร่เสียคนละ 50 บาท (บ่อกระเบื้อง ลักษณะเหมือนสระว่ายน้ำ) แช่แล้วสบายตัวมากๆ เป็นการกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้หายจากอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย น้ำแร่บริสุทธิ์ยังมีแร่ธาตุต่างๆที่ดีต่อสุขภาพผิวอีกด้วย อุณหภูมิสุงสุดของน้ำร้อนอยู่ที่ 56 °C ร้อนใช้ได้ทีเดียว   
พอแช่น้ำร้อนกันหนำใจแล้วก็ไปกินข้าวเย็นกันต่อที่ร้าน Swiss Fish & Chip ซึ่งเป็นร้านอาหารใน Swiss Valley Hip Resort รีสอร์ทเปิดใหม่ใกล้ๆกับ The Scenery Resort บรรยากาศดีมากๆ จนนึกว่าตัวเองอยู่ต่างประเทศ ราคาอาหารก็สูงพอสมควร แต่ถ้าเทียบกับบรรยากาศและคุณภาพอาหารแล้วก็จัดว่า เยี่ยม! นั่งกินกันตั้งแต่ตะวันยังไม่ลับขอบฟ้า จนกระทั่งท้องฟ้ามืดมิดกันเลยทีเดียว
ค่าเสียหายมื้อนี้ 1,020 บาท
กลับที่พักกันประมาณ 1 ทุ่ม ถนนในอ. สวนผึ้งมืดมาก ไม่แนะนำให้ออกไปไหนตอนกลางคืน เพราะไม่มีไฟถนน ค่อนข้างมืด และเปลี่ยวมาก ถึงที่พักก็รวมตัวกันเมาท์แหลกแลกเปลี่ยนเรื่องราวในชิวิตของแต่ละคน มันเป็นบรรยากาศที่รื่นรมย์ มีชีวิตชีวา อบอุ่น และสุขใจอย่างบอกไม่ถูก ถ้านึกภาพไม่ออกลองชวนเพื่อนสนิทที่รู้ใจไปเที่ยวในวัดหยุดกันดูบ้างนะ แล้วจะรู้ว่าความสุขมันอยู่ไม่ไกล เพราะอยู่กับเพื่อนสนิทเราสามารถเป็นตัวของตัวเองได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องแคร์ว่าเพื่อนจะรับเราไม่ได้ ยิ่งได้ใช้ชีวิตกับเพื่อนที่ "โตมาด้วยกัน" ยิ่งทำให้รู้ว่าชีวิตของเราก็ไม่เหงาจนเกินไป...

เดี๋ยวจะมาอัพเดทการเดินทางในวันที่ 2 ของทริปนี้ให้ดูกันต่อนะจ้ะ โปรดติดตามตอนต่อไป...^o^   
                                                      

10.9.53

ปีศาจกินความโกรธ


เมื่อคืนอ่านหนังสือ "ชวนม่วนชื่น" เจอเรื่อง ปีศาจกินความโกรธ เป็นเรื่องที่ให้แง่คิดดีทีเดียว เลยอยากเอามาแบ่งปันให้ได้อ่านกัน เรื่องก็มีอยู่ว่า...

ครั้งหนึ่งนานมาแล้วในอาณาจักรแห่งหนึ่ง มีปีศาจตนหนึ่งเดินเข้ามาในวังขณะที่พระราชาไม่อยู่ ปีศาจตนนี้น่าเกลียดมาก แถมยังเหม็นอย่างร้ายกาจ สิ่งที่มันสำรอกออกมาก็น่าขยะแขยง จนทหารยามและเจ้าหน้าที่ในวังทุกคนตัวแข็งทื่อด้วยความหวาดกลัว นั่นทำให้ปีศาจเดินผ่านห้องต่างๆ ด้านนอกจนเข้าไปถึงท้องพระโรงชั้นในได้อย่างสบายๆ แถมยังนั่งลงบนบัลลังก์ของพระราชาอีกด้วย ทหารยามและคนอื่นๆ พลันได้สติ เมื่อเห็นปีศาจบนบัลลังก์พระราชา


เขาตะโกนว่า "ออกไปจากที่นี่ซะ นี่ไม่ใช่ที่ของเจ้านะ! ถ้าเจ้าไม่ย้ายกันของเจ้าออกไปเดี๋ยวนี่ละก็ เราจะแล่เจ้าเป็นชิ้นๆ ด้วยดาบของเรา"


ด้วยคำพูดอย่างโกรธๆ ไม่กี่คำนี้ ตัวเจ้าปีศาจก็โตขึ้นอีกสองสามนิ้ว หน้าตาก็น่าเกลียดขึ้น กลิ่นเหม็นๆ ก็รุนแรงขึ้น และคำพูดก็ลามกยิ่งขึ้น


ดาบถูกชักออกกวัดแกว่งไปมา กริชถูกดึงออกมา พร้อมกับเสียงข่มขู่ต่างๆ ทุกๆ คำพูดที่ออกอาการโกรธ ทุกๆ การกระทำด้วยความโกรธ แม้แต่ทุกๆ ความคิดโกรธ ตัวเจ้าปีศาจก็โตขึ้นทีละนิ้วๆ น่าเกลียดยิ่งขึ้น เหม็นยิ่งขึ้น และใช้ภาษาสกปรกยิ่งขึ้น


การเผชิญหน้ากันยังคงดำเนินต่อไปสักพักจนกระทั่งพระราชากลับมาถึงวัง ท่านเห็นเจ้าปีศาจร่างยักษ์บนบัลลังก์ของท่าน ท่านไม่เคยเห็นอะไรที่น่าเกลียดสุดๆ อย่างนี้มาก่อนเลย แม้แต่ในหนังภาพยนตร์ก็เถอะ กลิ่นเหม็นฉุนที่ออกมาจากกายเจ้าปีศาจนั้น แม้แต่หนอนก็อาจจะคลื่นไส้ได้ ภาษาที่ใช้ก็น่าเกลียดเสียยิ่งกว่าที่จะได้ยินได้ฟังจากบาร์เถื่อนๆ กลางเมืองที่เต็มไปด้วยคนเมาในคืนวันเสาร์


พระราชาทรงใช้สติปัญญา ก็ด้วยเหตุนี้แหละ ท่านจึงเป็นถึงพระราชา ท่านทรงทราบว่าท่านจะจัดการอย่างไร
ท่านกล่าวอย่างอบอุ่นว่า "ยินดีต้อนรับท่าน ยินดีต้อนรับสู่วังของข้าพเจ้า มีผู้ใดนำเครื่องดื่มและอาหารมาให้ท่านหรือยัง"


ด้วยกิริยาท่าทางที่สุภาพเช่นนี้ ตัวของเจ้าปีศาจก็หดเล็กลงสักสองสามนิ้ว น่าเกลียดน้อยลง เหม็นน้อยลง และน่ารังเกียจน้อยลง


เจ้าหน้าที่ประจำวังเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว คนหนึ่งถามปีศาจว่าอยากจะดื่มชาสักถ้วยไหม "เรามีชาดาร์จีลิง อิงลิชเบรกฟาสต์ หรือเอิร์ลเกรย์ หรือท่านจะชอบชาเป็บเปอร์มินท์ที่แสนอร่อยและมีผลดีต่อสุขภาพ" อีกคนโทรศัพท์สั่งพิซซ่าขนาดครอบครัวซึ่งเหมาะสำหรับปีศาจร่างยักษ์เช่นนี้ ขณะที่อีกคนนวดเกล็ดที่คอของม้น เจ้าปีศาจคิดในใจว่า "อืม! สบายจัง"


ทุกๆ คำพูดที่สุภาพ การกระทำที่เอื้อเฟื้อ ตลอดจนความคิดที่ดี ตัวเจ้าปีศาจก็ค่อยๆ หดลงๆ น่าเกลียดน้อยลง เหม็นน้อยลง และน่ารังเกียจน้อยลง ก่อนที่เด็กส่งพิซซ่าจะมาถึง ร่างของเจ้าปีศาจก็หดลงจนมีขนาดเท่ากับตอนที่มันนั่งลงบนบัลลังก์ในครั้งแรก แต่เขาก็ยังไม่หยุดที่จะทำดีต่อมัน ในไม่ช้าเจ้าปีศาจก็เล็กลงๆ จนเกือบจะมองไม่เห็นอยู่แล้ว และหลังจากการแสดงน้ำใจอีกเพียงครั้งเดียว เจ้าปีศาจก็หายวับไปเลย


เราเรียกเจ้าสัตว์ประหลาดนี่ว่า 'ปีศาจกินความโกรธ' บางเวลาคนใกล้ตัวเราอาจจะเป็น 'ปีศาจกินความโกรธ' ถ้าเราโกรธเขา เขาก็จะเลวลง น่าเกลียดขึ้น เหม็นขึ้น พูดจาน่ารำคาญยิ่งขึ้น ปัญหาจะบานปลายขึ้น ทุกครั้งที่เราโกรธเขา แม้แต่คิดโกรธในใจก็เถอะ บางทีตอนนี้เราจะได้เห็นความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเรา และรู้เสียทีว่าเราจะทำอะไรต่อไป


ความเจ็บปวดเป็น 'ปีศาจกินความโกรธ' ตัวหนึ่ง เมื่อเราคิดโกรธ 'เจ้าความเจ็บปวด! จงไปให้พ้น! นี่ไม่ใช่ที่ของเจ้า!' มันกลับจะรุนแรงขึ้น และเลวร้ายลงในหลายๆ ด้าน มันยากนักที่จะใจดีต่อสิ่งที่ทั้งน่าเกลียดและน่ารังเกียจเช่นเจ้าความเจ็บปวดนี้ แต่หลายๆ ครั้ง ในชีวิตที่เราไม่มีทางเลือกอื่นใด เมื่อเราสามารถทำใจยอมรับความเจ็บปวดอย่างจริงใจ มันกลับจะเจ็บน้อยลง ก่อปัญหาน้อยลง และบางครั้งก็หายวับไปเลย

ในชีวิตเรา หลายครั้งที่เราต้องเจอกับปีศาจมากมาย ที่มาในหลากหลายรูปแบบ แต่ขึ้นชื่อว่าปีศาจ ยังไงซะต้องพ่ายแพ้ต่อความดี ถ้าเราสามารถรับรู้ถึงความร้ายกาจของปีศาจร้ายที่เกิดขึ้นในใจของเราได้ทันท่วงที เราก็จะพบว่ามันไม่สามารถทำอะไรเราได้ และความสุขก็รอเราอยู่ตรงหน้านั่นเอง...^O^

9.9.53

ในวันที่ฉันว่าง (งาน)

หลังจากที่ (เต็มใจ) ออกจากงาน มาได้อาทิตย์กว่า (ตั้งแต่วันที่ 31 ส.ค. 53) ก็เริ่มอยากทำอะไรที่มันแตกต่างไปจากวิถีชีวิตประจำวัน เลยเริ่มคิดได้ว่า ไหนๆ ก็ว่างและ ลองเขียน Blog ดูดีกว่า เผื่อจะได้ไอเดียอะไรใหม่ๆ มาทำให้ชีวิตมีสีสัน ได้ออกแบบ ได้แสดงความนึกคิดต่างๆ ผ่านทางตัวอักษร เผื่อว่าในอนาคตอาจจะได้เป็นนักเขียนกับเค้าบ้าง การอยู่บ้านก็มีข้อดีหลายๆ อย่าง ได้ทำอะไรตามใจ สามารถตื่นเวลาไหนก็ได้ โดยที่ไม่ต้องมีนาฬิกาปลุกมาคอยบังคับ อยากไปไหนก็ได้ไปเพราะมีเวลาว่างเต็มที่..

การว่าง (งาน) ครั้งนี้มีความหมาย เพราะไม่ได้ต้องการออกมาอยู่ว่างๆ เฉย แต่ต้องการออกมาเพื่อพักผ่อน หลังจากทำงานมาเป็นเวลา 1 ปี หลายคนอาจมองว่าระยะเวลาเพียงแค่ 1 ปี มันไม่นานเลย หลายคนถามว่าออกมาทำไม หางานใหม่ได้หรือยัง คำตอบคือ ออกมาเพื่อพักใจ และยังหางานใหม่ไม่ได้ ^O^ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกทุกข์ หรือกระวนกระวายใจแต่อย่างใด เพราะเชื่อมั่นอยู่ลึกๆ ว่ายังไง เราก็ต้องได้งานใหม่แน่นอน เพียงแต่ตอนนี้ขอเวลานอก หลบความวุ่นวายต่างๆ ตั้งใจว่าจะไปเข้าคอร์สปฏิบัติธรรม ให้จิตใจได้พักผ่อนอย่างแท้จริง...
ชีวิตนี้สั้นนัก...เราไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นจึงอยากทำอะไรที่ตัวเองรู้สึกว่าดีที่สุดสำหรับชีวิต การมีเงินมากมายก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีความสุข หากไม่มีเวลา หรือไม่มีสุขภาพที่ดี เงินทองที่หามาได้ก็ไร้ค่า แต่ตราบใดที่เรายังต้องกินต้องใช้ เงินทองก็จำเป็นอย่างยิ่ง เพียงแค่ตอนนี้ลองใช้ชีวิตในแบบที่ไม่ต้องใช้เงินมาก เรียกได้ว่าใช้ชีวิตพอเพียงอย่างแท้จริง บางวันกินข้าวแค่ 2 มื้อ แต่รู้สึกอิ่มได้อย่างประหลาด มีใครบางคนเคยบอกไว้ว่า "ปัจจุบันเป็นรากฐานของอนาคต" ดังนั้น ถ้าเราทำปัจจุบันดี อนาคตต้องดีแน่นอน ตอนนี้ก็แค่รอเวลา และนึกไตร่ตรองว่าต่อไปเราจะทำอะไรที่เหมาะกับตัวเอง และเป็นประโยชน์ต่อสังคม ได้ยินวาทะศิลป์ของคนดังที่ประสบความสำเร็จ แล้วทำให้ฉุกคิดได้ว่าเราไม่จำเป็นจะต้องทำตามความต้องการของใคร เพียงแค่รอเวลา และ...
"อย่าหยุดค้นหา จนกว่าจะได้ทำงานที่ตนรัก" 
" You've got to find what you love" 
by Steve Jobs (CEO Apple and Pixar Animation)