27.12.53

ขี้วัวเต็มคันรถบรรทุก

      ใกล้สิ้นปีแล้ว เลยอยากนำเรื่องราวดีๆ ที่อ่านแล้วรู้สึกประทับใจ มาแบ่งปันให้เพื่อนๆ ได้อ่านกัน เผื่อว่าจะเป็นกำลังใจให้ใครหลายๆคน ที่กำลังรู้สึกว่าปีที่ผ่านมามีทุกข์มากกว่าสุข พบเจอแต่เรื่องแย่ๆ ให้ได้มีพลังใจในการยืนหยัดต่อสู้ในปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง...

เรื่องนี้มีชื่อว่า "ขี้วัวเต็มคันรถบรรทุก"

      ลองนึกวาดภาพสิว่า เราเพิ่งสนุกสนานกับเพื่อนที่ชายหาดในบ่ายวันหนึ่ง เมื่อกลับถึงบ้าน เราพบขี้วัวกองมหึมาเต็มคันรถบรรทุกถูกเทไว้ตรงหน้าบ้านของเรา ที่ต้องรู้ 3 อย่างเกี่ยวกับขี้วัวกองมหึมานี้คือ

1. เราไม่ได้สั่งซื้อขี้วัว มันไม่ใช่เรื่องผิดพลาดของเราแน่
2. ขี้วัวกองนี้เป็นเรื่องของเราแล้ว ไม่มีใครเห็นว่าใครเอาขี้วัวมาทิ้งไว้ที่นี่ เราไม่สามารถจะไปเรียกใครมารับผิดชอบเก็บมันไปทิ้งได้
3. มันสกปรกและน่ารังเกียจ กลิ่นเหม็นโฉ่ของมันกระจายเข้าไปทั่วบ้าน แทบจะทนไม่ไหวเอาทีเดียว

      อุปมาอุปไมยขี้วัวกองมหึมาหน้าบ้านของเรานี้กับประสบการณ์อันแสนเจ็บปวดที่เข้ามาในชีวิต และเช่นเดียวกับขี้วัวเต็มคันรถบรรทุกกองนั้น 3 เรื่องที่เราต้องรู้เกี่ยวกับโศกนาฏกรรมในชีวิตของเราคือ

1. เราไม่ได้เรียกหามัน เรามักจะว่า "ทำไมต้องเป็นฉัน?"
2. มันเป็นเรื่องของเรา ไม่มีใครสักคนแม้แต่เพื่อนที่รักที่สุดของเราจะสามารถเอามันไปจากเราได้ (แม้ว่าพวกเขาอาจจะพยายามก็ตาม)
3. มันน่ากลัวมาก มันทำลายความสุขของเรา และความปวดร้าวใจนั้นฝังลึกเข้าไปในชีวิตของเราทั้งชีวิต มันแทบจะทนไม่ไหวเอาทีเดียว

      การตอบสนองต่อเรื่องขี้วัวนี้มีอยู่สองทางด้วยกัน ทางแรกคือการหอบขี้วัวไปไหนมาไหนกับเรา เราเอาขี้วัวบางส่วนใส่ไว้ในกระเป๋าบ้าง ใส่ไว้ในถุงบ้าง และใส่ไว้ในเสื้อบ้าง เรายังเอาขี้วัวใส่ไว้ในกางเกงของเราด้วย เมื่อเราหอบหิ้วขี้วัวไปไหนมาไหนกับเรา เราพบว่า เราเสียเพื่อนไปมากมายทีเดียว แม้แต่เพื่อนที่สนิทกับเรามากที่สุดยังหายหน้าหายตาไปจากเรา ไม่ได้พบกันบ่อยเหมือนเคย

      การหอบหิ้วขี้วัวไปไหนต่อไหนกับเรา อุปมาเปรียบเทียบได้กับการจมอยู่ในความซึมเศร้า การมองในเชิงลบ และโทสะ มันเป็นการตอบสนองต่อความโชคร้ายที่แสนจะธรรมดาและย่อมเป็นที่เข้าใจได้ แต่เราต้องสูญเสียเพื่อนไปเยอะทีเดียว เพราะมันก็เป็นเรื่องธรรมดาและเข้าใจได้เช่นกันว่า เพื่อนๆ ของเราย่อมไม่ชอบที่จะอยู่ใกล้ๆ เราขณะที่เราซึมเศร้าเช่นนั้น ยิ่งไปกว่านั้น กองขี้วัวไม่ได้ลดขนาดลงแต่กลิ่นของมันนานวันเข้ากลับยิ่งเหม็นขึ้นเรื่อยๆ

      โชคยังดีที่มีทางที่สอง เมื่อเราโดนขี้วัวเต็มคันรถบรรทุกเทใส่ เราก็ถอนใจสักเฮือกและเริ่มลงมือทำงาน เราขนรถเข็น ส้อมง่าม และพลั่วออกมา เราโกยขี้วัวใส่รถเข็น เข็นรถไปหลังบ้าน ฝังมันไว้ในสวน มันเป็นงานที่แสนยากและน่าเหน็ดเหนื่อย แต่เราก็รู้ว่ามันไม่มีทางเลือกอื่นใด บางครั้งบางคราว เท่าที่เราสามารถจัดการอะไรสักอย่างกับปัญหาแทนที่จะเอาแต่บ่นว่าจนนำไปสู่ความซึมเศร้า วันแล้ววันเล่าที่เราโกยขี้วัว วันแล้ววันเล่าที่กองขี้วัวเล็กลงๆ บางครั้งอาจจะกินเวลาหลายปีทีเดียว แต่เช้าวันหนึ่งจะมาถึง เมื่อเราพบว่าขี้วัวหน้าบ้านเราได้หายไปหมดแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ปาฏิหารย์ได้เกิดขึ้นที่อีกด้านหนึ่งของบ้าน ดอกไม้ในสวนบานสะพรั่งสวยงาม สีสันสดใสไปทั้งสวน กลิ่นหอมของดอกไม้โชยไปถึงถนน ทำให้เพื่อนบ้านและแม้แต่ผู้คนที่เดินผ่านไปมายิ้มอย่างสุขใจ ต้นผลไม้ที่มุมสวนเกือบจะโค่นลงอยู่แล้วด้วยความหนักของผลไม้ แล้วผลไม้ก็หวานอร่อยชนิดที่เราจะหาซื้อที่ไหนไม่ได้ แถมมันยังมากมายเหลือเฟือ จนเราสามารถแบ่งปันให้แก่เพื่อนบ้าน หรือแม้แต่ผู้คนที่เดินผ่านมาก็ได้ลิ้มรสอันแสนอร่อยของเจ้าผลไม้ที่น่าพิศวงนี้ด้วย

      การโกยขี้วัวนี้อุปมาได้กับการยินดีต้อนรับโศกนาฏกรรมให้เป็นปุ๋ยสำหรับชีวิต เรื่องมันมีอยู่ว่า เราต้องทำด้วยตนเองเท่านั้น ไม่มีใครช่วยเราได้ในเรื่องนี้ แต่หากเราหมั่นโกยมันทุกวันๆ ไปลงในสวนแห่งใจของเรา เจ้ากองความทุกข์ทรมานจะเล็กลงๆ สำหรับคนบางคนอาจกินเวลาหลายปี แต่เช้าวันหนึ่งจะมาถึง เมื่อเราพบว่าไม่มีความเจ็บปวดรวดร้าวใดๆ เหลืออยู่แล้วในชีวิต และสิ่งมหัศจรรย์ก็ได้เกิดขึ้นในใจของเราด้วย ดอกไม้แห่งความเมตตากรุณาเบ่งบานไปทั่ว กลิ่นหอมของความรักอบอวลไปถึงท้องถนน ถึงเพื่อนบ้าน ถึงญาติพี่น้อง และถึงแม้กระทั่งคนที่ผ่านไปผ่านมาในชีวิตของเรา จากนั้นต้นไม้แห่งปัญญาก็โน้มลงมาสู่เรา เต็มไปด้วยรสหวานแห่งความเข้าใจอันลึกซึ้งในธรรมชาติของชีวิต ให้เราได้แบ่งปันผลที่แสนอร่อยโดยเสรี แม้แต่กับคนที่เพียงแค่ผ่านมาโดยเราไม่ทันได้วางแผนไว้ด้วยซ้ำ

      เมื่อเราได้รู้จักความเจ็บปวดที่น่าเศร้านี้ ได้เรียนรู้บทเรียนจากมัน และได้บำรุงสวนของเราให้เจริญงอกงาม เมื่อนั้นเราจะสามารถโอบผู้ที่กำลังจมดิ่งอยู่ในความทุกข์มหันต์ไว้ในวงแขนของเรา และกล่าวอย่างนุ่มนวลว่า "เราเข้าใจ" เขาเหล่านั้นจะตระหนักว่าเราเข้าใจเขาจริงๆ ความกรุณาอยากช่วยให้เขาพ้นทุกข์จะเกิดขึ้น เราจะชี้แนะรถเข็น ส้อมง่ามและพลั่วแก่เขา พร้อมทั้งให้กำลังใจอย่างไม่มีขีดจำกัด ถ้าเราไม่ได้บำรุงสวนของเราให้เจริญงอกงามแล้วไซร้ เราย่อมไม่สามารถจะทำเช่นนี้ได้

      นิทานเรื่องนี้สอนว่า ถ้าท่านต้องการที่จะให้บริการกับโลก ถ้าท่านปรารถนาที่จะปฏิบัติเมตตาภาวนาแล้วไซร้ ครั้งหน้าเมื่อเกิดเรื่องร้ายๆ ในชีวิตของท่าน ท่านจงกล่าวว่า "ไชโย! ได้ปุ๋ยสำหรับสวนของฉันอีกแล้ว!!"


ขอขอบคุณหนังสือธรรมะดีๆ ที่มีชื่อว่า "ชวนม่วนชื่น" อ่านทีไรก็ได้แง่คิดดีๆ นำไปใช้ในชีวิต และม่วนชื่นหลายๆ จริงๆ ค่ะ Merry Chritmas and Happy New Year 2011 Everyone!! ^o^

6.12.53

ตลาดน้ำบางน้อย เสน่ห์...ที่ไม่ต้องปรุงแต่ง

หากนึกถึงตลาดน้ำในจังหวัดสมุทรสงครามแล้วล่ะก็ หลายคนคงนึกถึง "ตลาดน้ำอัมพวา" ที่ขึ้นชื่อด้านอาหารการกินอันหลากหลาย แต่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่ามีตลาดน้ำเก่าแก่อายุกว่า 100 ปี อีกแห่งหนึ่งที่น่าสนใจ น่าเดินทางไปสัมผัสกับบรรยากาศริมแม่น้ำแม่กลองที่สวยงาม และมีของกินของใช้ให้เลือกซื้อไม่แพ้ตลาดน้ำอัมพวา ที่สำคัญพ่อค้าแม่ค้าที่นี่ก็แสนจะใจดี ตลาดที่ว่านี้ คือ "ตลาดน้ำบางน้อย" ตั้งอยู่ที่ปากคลองบางน้อย (วัดเกาะแก้ว) ต.กระดังงา อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม อยู่ห่างจากตลาดน้ำอัมพวาเพียง 4 กิโลเมตร เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่มีทั้งของกินของใช้มากมาย ทั้งผักสด ผลไม้นานาชนิด ไม่ว่าจะเป็น ลิ้นจี่ (ผลไม้ที่ขึ้นชื่อที่สุดของสมุทรสงคราม) ส้มโอ มะม่วง กล้วย มะพร้าว น้ำตาลมะพร้าว วุ้นมะพร้าวอ่อน ข้าวเหนียวมะม่วง ขนมจาก ปลาทู กะปิคลองโคน เป็นต้น

เมื่อวันหยุดชดเชยวันพ่อ 6 ธ.ค. 53 ที่ผ่านได้มีโอกาสไปเที่ยวตลาดแห่งนี้กับครอบครัว แต่น่าเสียดายที่วันที่ไปเป็นวันจันทร์ ร้านค้าส่วนใหญ่ปิด โดยปกติตลาดน้ำบางน้อยจะเปิดเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 8.00 น. วันนั้นเลยได้สัมผัสกับบรรยาศริมน้ำที่เงียบสงบ และแสนจะคลาสสิค ร้านค้าต่างๆ ที่เปิดในวันนั้นก็จัดร้านได้น่ารัก น่านั่ง เนื่องจากเป็นวันธรรมดา คนเลยไม่พลุกพล่าน บรรยากาศเป็นใจให้ได้ถ่ายรูปสวยๆ เก็บไว้เป็นที่ระลึกพอหอมปากหอมคอ...

ส่วนตัวรู้สึกประทับใจกับอัธยาศัยของเจ้าของร้านบางน้อยคอยรักที่แสนจะใจดี ให้ถ่ายรูปภายในร้านได้ทุกซอกทุกมุม ร้านบางน้อยคอยรักเป็นร้านขายเสื้อผ้าและเครื่องประดับร้านเล็กๆ ที่ชั้นบนเปิดเป็นโฮมสเตย์น่ารักๆ และชั้นล่างก็ขายเสื้อผ้า เครื่องประดับ และของตกแต่งบ้าน ได้คุยกับเจ้าของร้าน เค้าบอกว่าเป็นคนกรุงเทพฯ แต่รู้สึกประทับใจบรรยากาศที่นี่เลยมาเปิดเป็นโฮมสเตย์เล็กๆ แต่ก็ไม่ค่อยได้กำไรเท่าไหร่ เพราะยังไม่ค่อยมีคนรู้จัก

ณ ร้านบางน้อยคอยรัก
ชั้นล่างเป็นร้านค้า ชั้นบนเปิดเป็นโฮมเสตย์น่ารักๆ ริมแม่น้ำแม่กลอง


หลังจากเดินชม ช้อป ชิม กันที่ "ตลาดน้ำอัมพวา และตลาดน้ำบางน้อย" กันจนอิ่มหนำสำราญแล้ว ก็มุ่งหน้าไปไหว้พระกันต่อที่ "วัดไทร" ที่ชื่อว่าวัดไทร คงเป็นเพราะมีต้นไทรต้นใหญ่ยืนต้นตระหง่านอยู่ริมน้ำนั่นเอง


แม่ประทับใจคำสอนที่ติดไว้บนกำแพงที่วัดเลยให้ถ่ายรูปเก็บไว้ ^o^

ทริปนี้คงไม่ต้องบรรยายอะไรมากเพราะเป็นอีกหนึ่งทริปที่อบอวลไปด้วยอุ่นไอรักของพ่อกับแม่ ถ้ามีโอกาสคงได้พาพ่อกับแม่ไปเที่ยวบ้างนะคะ รักพ่อกับแม่ที่สุดเลย ^___^  

หากเพื่อนๆ คนไหนสนใจจะไปเที่ยวก็เข้าไปอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ตามลิงค์นี้เลยค่ะ  http://hilight.kapook.com/view/36869