22.7.54

" ใบไม้ร่วง " ธรรมชาติ...แห่งความตาย

หากใครได้ติดตามข่าวการเสียชีวิตของทหารผู้กล้าทั้ง 13 นาย รวมทั้งผู้สื่อข่าวอีก 1 ท่าน ที่เสียชีวิตในเหตุการณ์เครื่องบินตก ณ อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ก็คงรู้สึกสลดหดหู่ และเกิดคำถามขึ้นในใจมากมายว่าทำไม? ทหารเหล่านั้นเป็นคนดี ตั้งใจที่จะไปช่วยเหลือผู้อื่นแท้ๆ แต่ตัวเองกลับต้องเสียชีวิต ข่าวนี้ทำให้คิดถึงเรื่องราวที่เคยอ่านเจอในหนังสือ 'ชวนม่วนชื่น' โดย พระอาจารย์พรหม หนังสือเล่มโปรดที่มีคำตอบให้กับชีวิตทุกครั้งที่มีปัญหา เลยอยากนำเรื่องราวดีๆ ที่ได้อ่านเจอมาแบ่งปันให้ใครที่กำลังรู้สึกหดหู่ และต้องการหาคำตอบว่า "ทำไม?" ได้ลองทำความเข้าใจกันดูนะคะ ^___^

 ..ใบไม้ร่วง..

      เรื่องที่ยากที่สุดเกี่ยวกับความตายที่เราจะยอมรับได้มักจะเป็นเรื่องความตายของเด็ก หลายๆ ครั้งที่อาตมา (พระอาจารย์พรหม) ได้รับเกียรติให้ประกอบพิธีฌาปณกิจเด็กหญิง หรือเด็กชายเล็กๆ ซึ่งจากไปก่อนวัยอันควร ยังไม่ทันได้ลิ้มรสชาติของชีวิตสักเท่าไหร่ หน้าที่ของอาตมาคือ การช่วยพ่อแม่ผู้ระทมทุกข์และคนอื่นๆ ให้พ้นจากความเจ็บปวด จากความรู้สึกผิด และจากความต้องการหาคำตอบว่า 'ทำไม?' ที่ครอบงำจิตใจอยู่ทุกขณะ
         
      อาตมามักจะเล่าเรื่องซึ่งมีคนเล่าให้อาตมาฟังที่เมืองไทยเมื่อหลายปีก่อนเป็นการอุปมาอุปไมย ดังนี้

      พระสายวัดป่าธรรมดาองค์หนึ่งกำลังนั่งสมาธิตามลำพังในกฏิมุงหญ้าในป่า หัวคำวันหนึ่ง เกิดพายุมรสุมรุนแรงมาก เสียงลมอื้ออึงดังสนั่นราวกับเสียงเครื่องบินไอพ่น ฝนตกหนักกระหน่ำซัดหลังคากุฏิ ยิ่งดึกยิ่งหนัก แรกๆ ก็ได้ยินแต่เสียงกิ่งไม้ฉีกออกจากต้น ต่อมาต้นไม้ทั้งต้นก็ถอนรากถอนโคนล้มลงด้วยแรงพายุกระแทกพื้นเสียงดังสนั่นราวกับฟ้าฝ่า

      ในไม่ช้า ท่านก็ตระหนักว่า กฏิมุงหญ้านั้นไม่สามารถคุ้มครองท่านได้ หากต้นไม้ล้มลงมาทับ หรือเพียงแค่กิ่งไม้หล่นลงมาสักท่อนก็จะสามารถทะลุหลังคาหญ้าลงมาทับท่านถึงตายได้ ท่านไม่ได้หลับเลยทั้งคืน ท่านได้ยินเสียงต้นไม้ยักษ์ๆ ในป่าโค่นลงสู่พื้นดินต้นแล้วต้นเล่า ทำเอาหัวใจท่านเต้นไม่เป็นส่ำเป็นพักๆ

      และก็มักเป็นเช่นนี้เสมอ พายุหยุดสนิทตอนรุ่งสาง เมื่อดวงอาทิตย์เริ่มทอแสง ท่านเดินออกมานอกกุฏิเพื่อสำรวจความเสียหาย กิ่งไม้ใหญ่ๆ หลายกิ่ง และต้นไม้ขนาดเขื่องสองต้นล้มเฉียดกุฏิท่านชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด ท่านรู้สึกว่าท่านโชคดีนักที่รอดมาได้ สิ่งที่ดึงความสนใจของท่านโดยทันทีไม่ใช่ต้นไม้มากมายที่โดนถอนรากถอนโคน หรือกิ่งไม้ที่ร่วงเกลื่อนกลาดไปทั่วพื้นดิน แต่กลับเป็นใบไม้มากมายที่บัดนี้ร่วงทับถมกันหนาแน่นไปทั่วพื้นป่า

      เหมือนอย่างที่ท่านคาดคิด ใบไม้ส่วนใหญ่ที่ร่วงหล่นไร้ชีวิตอยู่บนพื้นดินเป็นใบไม้แก่สีน้ำตาล ซึ่งอยู่มานานเต็มทีแล้ว ท่ามกลางใบไม้สีน้ำตาล มีใบไม้สีเหลืองมากมาย แถมยังมีใบไม้สีเขียวปนอยู่บ้าง ใบไม้สีเขียวบางส่วนดูสดและเขียวจัด ชนิดที่ท่านรู้ว่ามันคงจะเพิ่งคลี่ออกมาจากตายอดเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว บัดนั้นหัวใจของท่านได้เข้าถึงธรรมชาติแห่งความตาย

      ท่านต้องการที่จะทดสอบความจริงที่ท่านประจักษ์นี้ ท่านจึงแหงนหน้าขึ้นไปมองใบไม้ที่ยังอยู่บนต้น แน่นอนว่าใบไม้ส่วนมากที่เหลืออยู่บนต้นเป็นใบไม้สีเขียวอายุอ่อนๆ ที่อยู่ในสภาพแข็งแรงซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในวงจรชีวิตของมัน อย่างไรก็ตาม แม้จะมีใบไม้อ่อนๆ สีเขียวร่วงหล่นไร้ชีวิตอยู่บนพื้นดิน แต่ใบไม้สีน้ำตาลแก่ๆ ที่แห้งเหี่ยวแล้วบางส่วนก็ยังคงเกาะติดอยู่บนกิ่งไม้ พระท่านยิ้ม ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา การตายของเด็กน้อยไม่ทำให้ท่านหวั่นไหวอีกต่อไป

      เมื่อพายุแห่งความตายพัดผ่านเข้ามาในครอบครัวของเรา มันมักจะพรากชีวิตท่านผู้ชรา ผู้เปรียบเสมือนใบไม้สีน้ำตาลมีลายพร้อย บางครั้งมันก็พรากชีวิตผู้ที่อยู่ในวัยกลางคนเช่นใบไม้สีเหลือง บางครั้งหนุ่มสาวซึ่งอยู่ในวัยที่สดใสที่สุดของช่วงชีวิต เช่นเดียวกับใบไม้สีเขียวก็ตายเช่นกัน และบางครั้งความตายยังพรากชีวิตเด็กเล็กๆ บางคนไปด้วย เช่นเดียวกับที่พายุปลิดใบไม้อ่อนๆ จำนวนหนึ่งลงฉันนั้น ธรรมชาติของความตายของมนุษย์เรามันเป็นเช่นนั้นเอง เช่นเดียวกับธรรมชาติของพายุในป่ามันก็เป็นเช่นนั้นเองแหละ

      ไม่ใช่เรื่องที่จะกล่าวโทษใครหรือทำให้ใครรู้สึกผิดในเรื่องการตายของเด็ก มันเป็นธรรมชาติของสรรพสิ่งทั้งหลาย ใครจะกล่าวโทษพายุเล่า? มันช่วยเราตอบคำถามว่า ทำไมเด็กบางคนจึงตายก่อนวัยอันสมควร คำตอบก็จะเป็นเหตุปัจจัยเดียวกันกับคำถามว่า ทำไมใบไม้อ่อนๆ จำนวนหนึ่ง แม้จะไม่มากนัก ต้องร่วงหล่นในเวลาเกิดพายุด้วยเล่า...



"วันคืนที่ล่วงไป ๆ โอกาสที่เราจะได้อยู่บนโลกใบนี้ ที่จะได้อยู่เป็นมนุษย์ก็ลดลงไป
วันเวลาก็เหลือน้อยลง ๆ เพราะฉะนั้น เรามีเวลามากพอกระนั้นหรือที่จะทำสิ่งที่ไม่ดี ไร้สาระ"

พระอาจารย์นวลจันทร์ กิติปัญโญ

สุดท้ายนี้ก็ขอไว้อาลัยแด่ผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ดังกล่าวด้วยนะคะ

21.7.54

พระพุทธศาสนาคืออะไร? จากหนังสือ ธรรมะนับหนึ่ง ^__^

สวัสดีค่ะ

ห่างหายจากการเขียน Blog ไปนาน เนื่องจากไปทำงานวุ่นวายทั้งวัน กลับมาบ้านก็ไม่อยากแตะคอม ช่วงนี้มีเวลาว่าง เป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน ระหว่างรองานที่ใหม่เรียก เลยมีเวลาว่างมานั่งเขียนอะไรดีๆ แบ่งปันให้เพื่อนๆ ได้อ่านกัน หวังว่าสิ่งที่นำมาฝากในครั้งนี้จะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะคะ...^o^

เรื่องที่นำมาเขียนในวันนี้เป็นบทความหนึ่งจากหนังสือ "ธรรมะนับหนึ่ง" เขียนโดย ผู้ที่มีนามปากกาว่า หนุ่มน้อยในแดนธรรม เป็นหนังสือที่อ่านง่าย เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย แม้แต่คุณแม่ที่ไม่ค่อยมีเวลาอ่านหนังสือเท่าไหร่ แค่วางไว้ในห้องรับแขกเฉยๆ แม่เห็นยังหยิบขึ้นมาอ่านจนจบเล่ม น่าดีใจจริงๆ ^-^ เลยคัดลอกบางส่วนบางตอนของหนังสือเล่มนี้มาให้เพื่อนๆ ได้อ่านและทำความเข้าใจกันค่ะ


ผู้เขียนตั้งชื่อเรื่องไว้ว่า "พระพุทธศาสนาคืออะไร" หลายคนคงมีคำตอบผุดขึ้นมาในใจมากมาย เรามาฟังคำตอบของ "หนุ่มน้อยในแดนธรรม" กันดีกว่าค่ะ

ผู้เขียนขึ้นต้นด้วยการให้ผู้อ่านเลือกข้อที่ถูกที่สุดต่อไปนี้

a. พระพุทธศาสนาคือระบบความเชื่อ
b. พระพุทธศาสนาคือหลักปรัชญา
c. พระพุทธศาสนาคืออภิปรัชญา
d. พระพุทธศาสนาคือศาสนาแห่งปัญญา
e. พระพุทธศาสนาคือระบบการศึกษาและการปฏิบัติ
f. ถูกทุกข้อ

ผู้เขียนยังบอกอีกว่า ขึ้นบทความนี้ด้วยรูปแบบข้อสอบที่เราคุ้นเคย แต่ไม่เคยคิดอยากจะทำเพราะมันสับสนเหลือเกินและคุ้นๆ ว่าจะถูกทุกข้อ ^o^

     นิยามของพระพุทธศาสนาข้างต้นทั้งหมดนั้นข้อ e นับว่าใกล้เคียงที่สุด เพราะเป้าหมายสูงสุดคือสอนให้คนหายโง่ (อวิชชา) มนุษย์จึงต้องเรียนและฝึกให้มากๆ และอาจเป็นคำตอบที่ทำให้คนไทยส่วนใหญ่งงว่า ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ในเมื่อสิ่งที่เราทำกันเป็นประจำก็มีแค่เพียงการไหว้พระ กราบพระ ทำบุญตักบาตร เวียนเทียน ฟังธรรม ไม่เห็นจะมีเรื่องการศึกษาหรือปฏิบัติสักเท่าไหร่
    
ผู้เขียนอธิบายพระพุทธศาสนาให้เห็นภาพอย่างง่ายๆ ได้ว่า...

     "พระพุทธศาสนาคือโรงเรียนกวดวิชาเพื่อสอบเข้านิพพานเพียงแห่งเดียว ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของการเวียนว่ายตายเกิดอันไม่สิ้นสุด มีพระพุทธเจ้าเป็นผู้ก่อตั้งและสอบได้เป็นคนแรก" มีพระไตรปิฎกเป็นตำรา บทบัญญัติ และระเบียบปฏิบัติ มีวัดเป็นศูนย์กลางส่งเสริมการศึกษา มีพระสงฆ์เป็นครูกวดวิชา เป็นผู้ให้แบบฝึกหัด (การบ้านก็มีการทำทาน การรักษาศีล และการภาวนา) รวมถึงตนเองก็ต้องสอบเข้านิพพานควบคู่ไปด้วย โดยมีมนุษย์ที่สนใจปฏิบัติธรรมเป็นนักเรียน
    
     นอกจากนี้ยังมีสถานปฏิบัติธรรมเป็นหลักสูตรเสริม (หรือตอนนี้จะเป็นหลักสูตรหลัก?)...มีวัฏสงสารเป็นห้องเรียน ห้องสอบ ห้องปฏิบัติการที่กว้างใหญ่ และมันใหญ่จนทำให้นักเรียนส่วนมากลืมไปว่ากำลังทำข้อสอบอยู่ตลอดเวลา ที่นี่ไม่มีช่วงเวลาปิดเทอม ไม่มีตารางเรียน แล้วแต่วิบากกรรมจะจัดสรรตารางสอนให้ มีกฎแห่งกรรมเป็นครูฝ่ายปกครอง มีแก๊งกิเลส ตัณหา อุปาทานเป็นเด็กหลังห้องที่คอยตั้งต้นเป็นใหญ่ ดึงดูดให้ใครๆ ก็อยากเข้ากลุ่ม เพราะมันเท่ห์ดี!!

     ส่วนใครที่เกเรมากๆ ก็จะมีสถานกักกันทำทัณฑ์บนคืออบายภูมิ โดยครูฝ่ายปกครองที่เฮี้ยบสุดๆ จากแผนกกฎแห่งกรรม ซึ่งไม่เคยเว้นโทษหรือหย่อนโทษให้ใครเลย ส่วนใครทำดีก็จะได้รางวัลปลอบใจเล็กๆ น้อยๆ พอให้ชื่นใจด้วยการขึ้นไปรับกรรมดีบนสวรรค์หรือชั้นพรหมก่อนที่จะกลับไปลงทะเบียนเวียนว่ายตายเกิดต่อไปเรื่อยๆ ไม่จบสิ้น

     เด็กดีคนไหนหรืออาจารย์คนใดที่ใกล้จะสอบเข้านิพพานได้ กลุ่มแก๊งกิเลสก็จะรวมตัวไปก่อกวนเพราะความอิจฉา และไม่อยากให้ใครตีตัวออกจากกลุ่ม เดี๋ยวจะเสียการปกครอง

     นักเรียนจะมีอุปกรณ์เครื่องเรียนเป็นกายใจของตนเอง จะดีหรือไม่ดีก็ขึ้นอยู่กับต้นทุนคะแนนสอบครั้งก่อน และจะมีช่วงเวลาได้นอนพักกลางวันก็ตอนตายจากชาติหนึ่งไปเกิดอีกภพชาติหนึ่ง พอตื่นขึ้นมาก็จะลืมหมดว่าเคยทำข้อสอบค้างเอาไว้ แล้วก็จะเจอข้อสอบเดิมแผ่นใหม่เอี่ยมวางอยู่บนโต๊ะ พร้อมกับอุปกรณ์เครื่องเรียนคือ 'กายใหม่' และลืมไปว่าอุปกรณ์หนึ่งในนั้นเป็นชิ้นเดิมคือ 'จิต' ของตนเอง แต่ไม่ว่าจะทำอะไรลงไป ครูฝ่ายปกครองก็จะตามมาทวงคืนจนได้ ไม่ว่าเราจะจำได้หรือลืมว่าเคยทำอะไรไว้ก็ตาม

     มีเด็กนักเรียนน้อยคนที่จะรู้ว่า ตนเองสามารถบันทึกปัญญาในการทำข้อสอบลงในใจของตัวเอง เพื่อเป็นประโยชน์กับการสอบครั้งต่อไป จะได้ไม่ต้องมาเริ่มงมกันใหม่ทั้งหมด

     นอกจากนี้ก็ยังมีเด็กนักเรียนหรือครูอาจารย์กลุ่มเล็กๆ ที่เกือบจะสอบได้แล้ว (เทียบได้กับพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และอีกกลุ่มหนึ่งคือพรหมชั้นสุทธาวาส) นักเรียนกลุ่มนี้จะเริ่มตีตัวออกห่างแก๊งกิเลสมาก พวกแก๊งกิเลสก็ไม่ค่อยกล้ามาก่อกวนมากนัก เพราะเส้นเริ่มใหญ่ บารมีเริ่มมาก และมีไม่กี่คนที่สอบผ่านแล้วรอเวลาไปนิพพาน พวกแก๊งกิเลสก็จะเว้นวรรคให้ไว้ในฐานที่เข้าใจว่า "ห้ามแตะ" กลุ่มนี้ก็คือพระอรหันต์นั่นเอง

     การสอบเข้านิพพานนั้นเกิดขึ้นทุกครั้งที่ชีวิตเริ่มต้น และเมื่อเวลาสอบหมดลงคนที่ทำข้อสอบไม่เสร็จก็จะตายไปเกิดใหม่ด้วยคุณภาพชีวิตตามคะแนนที่ได้ในชั่วโมงที่แล้ว (ชาติก่อน) แต่คนจำนวนมากก็ดันลืมไปว่ากำลังทำข้อสอบอยู่ จึงชอบหนีออกไปอีลุ่ยฉุยแฉก นอกห้องเรียนกับแก๊งกิเลสซึ่งมีแหล่งมั่วสุมอยู่แถวๆ ห้องน้ำหลังโรงเรียน

     ปัจจุบันนี้กลายเป็นว่าผู้เข้าร่วมแก๊งกิเลสนั้นมีมากจนห้องน้ำหลังโรงเรียนจุไม่พอ ทางแก๊งจึงทำเรื่องขอย้ายห้องสอบนิพพานไปอยู่ในห้องน้ำหลังโรงเรียนเสีย แล้วยึดโรงเรียนเป็นที่ทำการแก๊งแทน (ฮา) นั่นก็แปลว่าจะมีนักเรียนที่เรียนซ้ำชั้นมากขึ้นเรื่อยๆ...นรกมาแล้วจ้า
    
     ทุกวันนี้การเรียนการสอนเพื่อสอบเข้านิพพานนั้นง่ายขึ้น มีมากขึ้น แต่ขั้นตอนการสอบดูเหมือนว่าจะทุลักทุเลกว่าเก่า เพราะห้องสอบนั้นเริ่มไม่ค่อยน่าพิสมัย (ห้องน้ำหลังโรงเรียน...ฮา)

     เคล็ดลับของการสอบเข้านิพพานนั้นก็คือ ต้องอยู่กับปัจจุบันให้ได้อย่างต่อเนื่อง เลือกทำโจทย์ข้อที่มีคะแนนมากที่สุดก่อนก็คือ วิปัสสนา โดยที่จะต้องไม่ลืมการทำโจทย์เสริมอย่างทาน และศีลควบคู่ไปด้วย เพราะโจทย์เสริมนั้นมีข้อมูลส่วนเสริมบางอย่างที่จะช่วยให้การภาวนาสำเร็จลงได้

     นักเรียนที่ได้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้นถือได้ว่าได้วิชาครู ทำให้มีสติอยู่กับข้อสอบ เห็นภาพกว้างของวัฏสงสารและตระหนักรู้ว่าไม่สามารถคาดหวังกับคุณภาพของอุปกรณ์การเรียน (กาย) ในชาติใหม่ว่าจะใช้ทำข้อสอบได้หรือไม่ จึงเร่งทำข้อสอบให้จบในชั่วโมงด้วยความไม่ประมาท

     ส่วนใครที่ปฏิบัติไม่ต่อเนื่อง เดี๋ยวเดียวแก๊งกิเลสก็จะมาเยี่ยมถึงที่ ใครดูถูกแก๊งกิเลสอาจจะต้องหนาว เพราะกุศโลบายของแก๊งนั้นแยบคายสุดๆ มันจะจัดฉาก ยกย่องคุณ ให้คุณตายใจว่าเป็นคนสำคัญของพวกมัน คุณจะหน้ามืดคิดว่าได้เป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ แล้วมันก็จะจิกหัวใช้ๆๆ คุณจนหมดเวลาสอบ แล้วคุณก็ต้องไปเริ่มสอบกันใหม่ซ้ำๆ โดยคุณต้องรับผิดต่อสิ่งที่พวกมันสั่งให้คุณทำทั้งหมด ซัดทอดความผิดก็ไม่ได้ พอคาบใหม่มาพวกมันก็จะตามมาจิก มาลาก คุณไปอีก
 
     ดังนั้นการที่เกิดมาได้เจอพระพุทธศาสนานั้นก็เหมือนได้เป็นนักเรียนเตรียมสอบนิพพานแล้ว แต่มันคงน่าเสียดายที่คุณจะถูกกิเลสลากเอาไปทุบ ถอง จนหมดเวลาสอบ หรือดันลืมไปว่ากำลังทำข้อสอบอยู่

     นิพพานนั้นคืออะไร ทำไมถึงได้สอบยากเย็นนัก เท่าที่ภูมิรู้ของผู้เขียน (หนุ่มน้อยในแดนธรรม) พอจะมี นิพพานก็คือสภาวะพ้นไปจากสมมติ พ้นจากกิเลส ตัณหา อุปาทาน พ้นจากอวิชชาหรือความไม่รู้ทั้งปวง คือรู้แจ้งอย่างยิ่ง แต่นิพพานแล้วจะเป็นอย่างไรนั้น ตอบได้คำเดียวว่าไม่รู้ อยากรู้เหมือนกัน แต่จะรู้ได้ก็คงต้องเป็นพระอริยเจ้าเท่านั้น

     บทสรุปปลายทางของวิปัสสนาอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนานั้น ก็คือการฝึกฝนจิตจนเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานจริงๆ ว่าวัฏสงสารนั้นเป็นเรื่องของสมมติล้วนๆ เป็นละครฉากใหญ่ที่เรากำหนดให้ตัวเองเล่นจนลืมไปว่ามันเป็นเพียงละคร ไม่มีอะไรเป็นแก่นสาร หากทราบความจริงนี้แล้วก็จะได้เลิกอินกับบทเสียที

นี่คือภาพรวมของพระพุทธศาสนาในรูปแบบที่น่าจะเข้าใจง่ายที่สุด...^____^

ขออนุโมทนากับเพื่อนๆ ที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้นะคะ
เพราะคุณคือนักเรียนคนหนึ่งที่กำลังเตรียมสอบเข้านิพพาน

ขอขอบคุณผู้เขียนหนังสือเล่มนี้จากใจจริงด้วยค่ะ

ขอเป็นกำลังใจให้นักเรียนทุกคนนะคะ

     ♥ ♥ ♥ ด้วยรักและลมหายใจ ♥ ♥ ♥