24.11.53

ภูเขาทอง ลองก้าวเดิน..

หากใครต้องการเปลี่ยนบรรยากาศจากการเดินเล่นในห้างสรรพสินค้า ไปสัมผัสบรรยากาศแปลกใหม่บนที่สูงกลางกรุงเทพฯ แล้วล่ะก็ นอกจากตึกใบหยกแล้ว อีกสถานที่หนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือ "ภูเขาทอง"

แม้ว่าจะอยู่ในกรุงเทพฯ แต่เราก็คงไม่ได้มีโอกาสไปไหว้พระบรมสารีริกธาตุบนภูเขาทองกันบ่อยนัก หลายคนอาจจะยังไม่เคยไป วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน ที่ผ่านมามีโอกาสพาป้าไปไหว้พระบนภูเขาทอง เลยมีเรื่องน่าประทับใจมาเล่าให้เพื่อนๆ ฟังกัน

ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับ "วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร" ที่ซึ่งชาวกรุงเทพฯ ทราบกันดีว่าเป็นที่ตั้งของ "ภูเขาทอง" วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร เป็นวัดที่มีความเก่าแก่ตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ปัจจุบันเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุแห่งองค์บรมบรรพตภูเขาทอง โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้รับพระบรมสารีริกธาตุจากรัฐบาลอินเดีย พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้บรรจุประดิษฐานไว้บนองค์บรมบรรพตภูเขาทอง และโปรดเกล้าฯให้มีการเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่เป็นเวลา 7 วัน 7 คืน จนกลายเป็นประเพณีนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ สำหรับชาวพระนครสืบต่อมาจนปัจจุบัน

การเดินทางไปภูเขาทองนั้นก็ไม่ยาก หากใครอยู่ฝั่งธนก็สามารถไปตั้งต้นที่สนามหลวงได้ เรียกแท็กซี่จากสนามหลวงไปไม่ถึง 50 บาท เราขับรถไปจอดที่ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์แล้วเรียกแท็กซี่ไป...^o^
ตั้งใจว่าจะไปแต่เช้าเพราะว่าไม่อยากเบียดเสียดกับคนเพราะอยู่ในช่วงเทศกาลลอยกระทง ที่วัดมีงาน ตอนเย็นคนจะแน่นมาก ใช้เวลาเดินทางไม่ถึงชั่วโมงก็ไปถึงบันไดขั้นแรกของภูเขาทอง

ป้าที่ไปด้วยกันอายุ 72 ปีแล้วแต่ยังแข็งแรงเดินขึ้นเขาไม่เหนื่อยเลย เพราะออกกำลังกายทุกวัน และถ้าหากใจเราจดจ่ออยู่กับทุกย่างก้าวแล้วล่ะก็ ไม่ว่าทางจะไกลแค่ไหน เราก็อาจจะไม่ทันได้พบกับคำว่าเหนื่อยเลย ^o^

เดินขึ้นเขาไปได้เกินครึ่งทางก็เจอร้านกาแฟสดน่ารักๆ ชื่อ "ร้านกาแฟบุญ"

ตอนที่พวกเราไปถึงยังไม่มีคนเลย ร้านก็ยังไม่เปิดเพราะไปถึงประมาณ 7 โมงกว่าๆ ก็ได้บรรยากาศสงบ อากาศเย็นสบาย แค่ได้นั่งมองวิวทิวทัศน์ก็ชื่นใจแล้ว ^o^

กว่าจะขึ้นไปถึงยอดเขาที่เป็นจุดหมายปลายทาง ระหว่างทาง บางครั้งเราก็ได้พบเจอกับสิ่งสวยงามต่างๆ ที่มาอวดโฉมให้เราได้ชื่นชม  ทำให้รู้สึกว่า "อืม ดีจังเลย" ยังไม่ขึ้นไปได้มั้ย ขอแวะพักดื่มด่ำกับสิ่งรอบตัวระหว่างทางก่อน เพราะถ้าไปถึงจุดหมายปลายทางแล้วทุกอย่างก็จบ เปรียบได้กับชีวิตคนเรา ถ้าเราสนใจแต่จุดหมายปลายทาง แต่ไม่สนใจกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ รอบตัว บางครั้งเราอาจจะพลาดอะไรดีๆ ไปก็เป็นได้ "การเดินทางเพื่อค้นหาชีวิต บางครั้งจุดหมายอาจไม่ได้อยู่ปลายทาง แต่อยู่ระหว่างทางต่างหาก"           
             
 ระหว่างทาง...เบิกบานกับดอกไม้
 แต่ถึงยังไงจุดหมายปลายทางก็รอเราอยู่...อีกเพียงไม่กี่ก้าว
และแล้วในที่สุดก็ขึ้นไปถึงที่ประดิษฐานพระพุทธนิมิตวิชิตมารโมลี ศรีสรรเพชญ์บรมไตรโลกนาถ (ปางทรงเครื่องจักรพรรดิ์) สีทองเหลืองอร่ามดูงามตา ^___^

 จุดธูปเทียนบูชาพระกันเสร็จเรียบร้อยก็เดินขึ้นบันไดวนขึ้นไปชมภูเขาทอง...

 ซึ่งตอนนี้ได้กลายเป็นภูเขาแดงชั่วคราว ไม่ได้เปลี่ยนฝักเปลี่ยนฝ่ายแต่อย่างใด เพียงแต่อยู่ในระหว่างการบูรณะปฏิสังขรณ์ ^o^ เพิ่งเคยเห็นภูเขาแดง แปลกตาไปอีกแบบ ว่ามั้ย

ช่วงนี้ก็ใกล้จะถึงวันพ่อแล้ว แอบเห็นภาพประทับใจของพ่อลูกคู่หนึ่ง บนภูเขาทอง พ่อกำลังอุ้มลูกตัวกะเปี๊ยกดูวิวจากกล้องส่องทางไกล...น่ารักมั้ยล่ะ ตอนเด็กๆ พ่อเราก็คงทำแบบนี้เหมือนกัน ^o^

ใครหนอรักเราเท่าชีวัน...
ทำบุญ ชนะใจ ตีฆ้องชัย ได้สิ่งดีงาม
ป้าทำบุญซื้อระฆังแขวน
สองป้าหลานนั่งพักก่อนลงจากภูเขาทอง
 มองจากมุมสูง...bird's-eye view
ชีวิตมีขึ้นก็ต้องมีลง...เป็นธรรมดา
เสร็จสิ้นภารกิจพิชิตยอดเขาแล้วก็เดินลงบันไดวนลงมาอีกทาง

ซุ้มไม้เลื้อยประตูทางลงภูเขาทอง
แว่วเสียงระฆัง...ดังกังวาน
ระหว่างทาง...ขาลง
 แล้วในที่สุดทริปนี้ก็จบลง...ด้วยรอยยิ้ม ^____^

ทิ้งท้ายไว้ด้วยคำกลอนอันไพเราะและน่าประทับใจ จากท่าน ติช นัท ฮันห์

ทางที่ใจเลือกไป มีนับพัน
แต่ทางที่ฉันเลือกเดิน สวยสงบ
ทุกย่างก้าวเท้าบรรจบ
ดอกไม้บานพานพบทุกก้าวเดิน

The mind can go in a thousand directions,
But on this beautiful path, I walk in peace,
With each step, a gentle wind blows,
With each step, a flower blooms.

ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ค่ะ

Breathe and Smile ^___^

หากใครต้องการไปเที่ยวภูเขาทองบ้าง สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่ค่ะ http://www.bangkokgoguide.com/golden-mount.php

21.11.53

New TOEIC สนามนี้ไม่มีคำว่าฟลุ้ค!

เมื่อวันพฤหัสที่ 18 พ.ย. 53 ที่ผ่านมาได้ไปสอบ TOEIC ข้อสอบที่เพื่อนๆ วัยทำงานหลายคนจำเป็นต้องสอบ หากต้องการจะสมัครเข้าทำงานกับบริษัทข้ามชาติ TOEIC ย่อมาจาก Test of English for International Communication ข้อสอบ TOEIC เป็นข้อสอบที่เน้นทักษะการฟังและการอ่าน เน้นภาษาอังกฤษที่ใช้ในชีวิตประจำวันในสำนักงาน ถ้าใครสอบได้คะแนนสูงๆ นั่นก็หมายความว่าสามารถใช้ภาษาอังกฤษในการติดต่อสื่อสารกับชาวต่างชาติได้ดี และโอกาสในการได้เข้าทำงานกับองค์กรที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ก็สูงตามไปด้วย

การสอบ TOEIC ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 หลังจากที่เคยสอบไปเมื่อปี 2006 ตอนนั้นได้ 755 คะแนน ได้นำคะแนนไปยื่นเข้าทำงานตามที่ต่างๆ ก็ได้รับการตอบรับที่ดี แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป คะแนนที่ได้ก็ไม่เพียงพอ เพราะสมัยนี้คนใช้ภาษาอังกฤษกันเก่งมากขึ้น บริษัทส่วนใหญ่ก็มักจะคาดหวังว่าจะได้พนักงานที่ได้คะแนน TOEIC เกิน 800 ถ้าทำงานในฝ่ายที่ต้องติดต่อกับต่างประเทศ และคะแนน TOEIC ก็เก็บได้เพียงแค่ 2 ปี คะแนนเก่าก็เลยหมดความหมายไปโดยปริยาย

หลังจากที่ตัดสินใจแล้วว่าจะไปสอบ TOEIC อีกครั้ง ก็เลยวางแผนและเตรียมตัวอ่านหนังสือล่วงหน้าเป็นเวลา 2 สัปดาห์เต็มๆ ครั้งนี้ตั้งเป้าไว้ที่ 900 คะแนน :D ฝึกทำข้อสอบเก่าหลายชุดมาก ทั้งส่วนการฟังและการอ่าน แต่พอไปสอบจริงๆ ปรากฏว่าเป็นข้อสอบแนวใหม่ และหนังสือที่ซื้อมาก็ยังเป็นข้อสอบแบบเก่าอยู่ แต่ก็รู้สึกว่าการได้ฝึกทำข้อสอบเยอะๆ มีประโยชน์มาก เพราะช่วยเราให้เข้าใจหลักไวยกรณ์มากขึ้น ฟังฝรั่งพูดแล้วจับประเด็นได้มากขึ้น และที่สำคัญคือ ช่วยให้เราฝึกทำข้อสอบได้ทันเวลา เพราะจับเวลาระหว่างการทำข้อสอบไว้ด้วย ถ้าใครต้องการจะสอบ TOEIC แนะนำให้หาข้อสอบเก่ามาฝึกทำนะ ยิ่งทำมากเท่าไหร่ยิ่งมีโอกาสได้คะแนนมากขึ้นเท่านั้น และอย่าลืมจับเวลาด้วยนะ เพราะข้อสอบ TOEIC ไม่ยาก แต่เน้นความอึด เร็ว และแม่นยำ คือ ฟังปุ๊บต้องตอบปั๊บ อ่านปุ๊บตอบปั๊บ ไม่มีเวลามานั่งคิดวิเคราะห์นานๆ เลย พอฝึกทำจนมั่นใจแล้วก็โทรไปจองสอบที่เบอร์ 02-260-7061 และ 02-260-7189 ถ้าจองแล้วไปไม่ได้สามารถเลื่อนวันและเวลาได้ มีรอบให้สอบ 2 รอบ คือ รอบ 9.00 น. และ 13.00 น. วันจันทร์ - วันเสาร์นะ ค่าสอบ 1,200 บาทจ้า

ว่าแล้วก็ตามไปดูประสบการณ์การเดินทางไปสอบ TOEIC กันเลยดีกว่า...

ออกจากบ้านเวลา 8.50 น. นั่งรถเมล์สาย 79 ไปลงสยาม ตั้งใจว่าจะไปกินข้าว แล้วนั่งรถไฟฟ้าต่อไปยังสถานีอโศก ^o^ เห็นพริกสดสีสวย และผักสดที่ทางกทม. นำมาปลูกไว้ริมถนนข้างรถไฟฟ้าเลยถ่ายรูปเก็บไว้หน่อย อดสงสัยไม่ได้ว่า จะมีคนแอบมาเด็ดผักและพริกไปทำกับข้าวบ้างมั้ยเนี่ย :D ไอเดียน่ารักดี


กองทัพต้องเดินด้วยท้อง เลยแวะกินข้าวร้าน Pepper Lunch ร้านอาหารญี่ปุ่นที่อาหารทุกจานต้องมี "พริกไทย" มีพนักงานมาสาธิตวิธีการผัดข้าวก่อนกินด้วย กินแล้วช่วยให้ร่างกายอบอุ่นจะได้ไม่หนาวเวลานั่งทำข้อสอบ ^o^


 หลังจากอิ่มหนำสำราญแล้วก็เดินทางต่อไปยังสถานีรถไฟฟ้าอโศกที่สามารถเปลี่ยนเส้นทางไปรถไฟฟ้าใต้ดิน หรือรถไฟฟ้ามหานครได้ พอลงสถานีอโศกก็เดินไปตามทางเชื่อมต่อรถไฟฟ้าใต้ดิน พอลงไปข้างล่างแล้วออกทางออก 1 อยู่ทางซ้ายมือ พนักงานบอกว่าเดินตามทางไปเรื่อยๆ ประมาณ 400 - 500 เมตร ก็จะเจอตึก BB Building ติดกับตึก Grammy ^o^




ไปถึงห้องสอบเวลา 11.30 น. เหลือเวลาอีกนานเหมือนกัน เลยเข้าไป Check In ถ่ายรูป (TOEIC เดี๋ยวนี้ต้องมีรูปติดด้วยนะ) แล้วก็ทำประวัติไม่นาน เจ้าหน้าที่บอกว่าให้มาเข้าห้องสอบเวลา 12.45 น. เลยตัดสินใจไปนั่งร้านกาแฟฝั่งตรงข้ามกับตึก BB Building ร้านสีกาแฟ บรรยากาศอบอุ่น พนักงานอัธยาศัยดี ^o^


ไปนั่งพักผ่อน ห้องแอร์เย็นๆ ตอนแรกก็อ่าน Note ที่เตรียมไป แต่รู้สึกว่าสมองเริ่มรับไม่ไหว เลยเอนหลังตามลมหายใจไปเรื่อยๆ ประมาณ 30 นาที เคลิ้มมากๆ อยู่ในภาวะที่ใกล้หลับแต่พยายามมีสติ 555 พอตื่นมาก็รู้สึกสดชื่น และมีสมาธิ ไม่คิดวอกแวกมากมาย และแล้วเวลาที่รอคอยก็มาถึง...

เจ้าหน้าที่ให้เข้าห้องสอบเวลา 12.45 น. เริ่มสอบ 13.00 น. พอไปถึงหน้าห้องสอบคนต่อคิวกันยาวเหยียด เนื่องจากมีการตรวจร่างกายอย่างละเอียด ห้ามนำสิ่งของใดๆ เข้าห้องสอบนอกจากกระเป๋าสตางค์ ถ้าใครจะนำดินสอนำโชคติดตัวเข้าไปก็ได้นะ แต่ต้องถือเป็นแท่งเข้าไป แม้แต่ซิบในกระเป๋าสตางค์ยังขอให้เปิดให้ดู ละเอียดมากๆ ในห้องสอบมีดินสอ ปากกา ยางลบ เตรียมไว้ให้พร้อม เราไม่ได้เอาเครื่องเขียนเข้าไปเลย รู้สึกว่าของเค้ามีคุณภาพเหมือนกันนะ ลบสะอาดเชียว

ข้อสอบจะมี 2 ส่วนคือ
1. ส่วนฟัง  (Listening)  100 ข้อ ให้เวลา 45 นาที
2. ส่วนอ่าน (Reading)  100 ข้อ ให้เวลา 75 นาที
รวม 200 ข้อ 2 ชั่วโมง มีคะแนนตั้งแต่ 5 - 990 คะแนน :D
ด้านล่างคือ ตารางเปรียบเทียบ TOEIC แบบเก่ากับแบบใหม่ แบบใหม่ New TOEIC Test สีเขียวนะจ้ะ

จะเห็นได้ว่า Listening Part 1 รูปภาพ ที่เป็นข้อสอบที่ง่าย ถูกตัดลดลงเหลือ 10 ข้อ ส่วน Reading Part 6 Error recognition ก็ไม่มีแล้ว สำหรับคนที่ไม่ชอบข้อสอบ Error (ขีดเส้นใต้ 4 choices ในประโยค แล้วให้เลือกว่าข้อไหนผิด) ก็คงจะยิ้มออกนะ
ส่วนตัวแล้วคิดว่า ถ้าต้องการสอบ TOEIC ให้ได้คะแนนดีๆ ควรเตรียมตัวก่อนสอบไปพอสมควรเพื่อให้ประสาทสัมผัสต่างๆ คุ้นเคยกับข้อสอบ พอเวลาไปสอบจริงจะได้ง่ายขึ้น ที่สำคัญคือต้องมีสมาธิอยู่กับข้อสอบข้อต่อข้อเลย เนื่องจากเวลาจำกัด และข้อสอบพอดีกับเวลาที่ให้เลย
ถ้าใครอยากอ่านเทคนิคการทำข้อสอบในแต่ละ Part ละเอียดๆ ลองเข้าไปอ่าน Blog ของคนที่เค้าเคยไปสอบมาและแนะนำไว้ได้ ตามลิงค์นะจ้ะ http://my.dek-d.com/moeito/blog/?blog_id=10057413
ส่วนหนังสือที่เราใช้ในการฝึกทำข้อสอบก็มีอยู่ 3 เล่ม คือ Test on TOEIC Listening (เล่มสีแดง), Test on TOEIC Grammar & Reading (เล่มสีน้ำเงิน) โดย ดร. ภานุ ปรัชญวิสาล และ พิชิตข้อสอบ TOEIC (Grammar Tests: Pats V-VI) (เล่มสีน้ำเงินหนาๆ เล่มนี้อธิบายไวยากรณ์ได้ละเอียดดีมาก) โดย ผศ. นเรศ สุรสิทธิ์ แต่ขอบอกไว้ก่อนว่าหนังสือทั้ง 3 เล่มนี้เป็นข้อสอบ TOEIC แบบเก่านะ ไม่แน่ใจว่าข้อสอบแนวใหม่ล่าสุดมีหรือยัง ถ้ายัง 3 เล่มนี้ก็ช่วยได้เพราะแบบใหม่หรือแบบเก่าก็ไม่ต่างกันมาก ถ้าฝึกทำข้อสอบมากๆ และถ้าข้อไหนผิดก็พยายามทำความเข้าใจ รับรองว่าคะแนน TOEIC ที่หวังไว้ก็ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอน ^o^
สำหรับคะแนนสอบสามารถไปรับด้วยตัวเองได้ในวันรุ่งขึ้นหลังจากวันสอบ หรือ จะเลือกให้ทางศูนย์ส่ง EMS มาให้ที่บ้านก็ได้ เสียค่าธรรมเนียม 50 บาทนะ เราเลือกแบบหลัง...และแล้วคะแนนก็ออกมา 925 คะแนน

"ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น"
ขอให้ทุกคนโชคดี ได้คะแนนตามที่ปรารถนากันทุกคนนะจ้ะ

16.11.53

แล้วมันจะผ่านพ้นไปเช่นกัน


       
         หนึ่งในบรรดาคำสอนอันล้ำค่าที่จะช่วยอาการซึมเศร้าได้ เป็นคำสอนที่เรียบง่ายตรงไปตรงมา ทว่าคำสอนที่ดูเหมือนง่ายนี้ อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดได้ง่ายๆ ด้วย เมื่อเราอยู่ในสภาวะที่ปราศจากอาการซึมเศร้าอย่างแท้จริง เราจึงจะสามารถยืนยันได้ว่า เราเข้าใจเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้จริงๆ

         นักโทษคนใหม่กำลังรู้สึกกลัวและซึมเศร้าอย่างหนัก กำแพงหินในห้องขังดูดซับความอบอุ่นทั้งหมดไปสิ้น ลูกกรงเหล็กแข็งๆ กางกั้นความเห็นอกเห็นใจทั้งหมดออกไป เสียงกระแทกของเหล็กเมื่อประตูหลายๆ บานปิดลง ปิดกั้นความหวังให้ไกลเกินเอื้อม ใจของเขาจมดิ่งลงลึกเท่ากับโทษจำคุกที่ยาวนาน บนกำแพงใกล้ๆ หัวเตียง เขาเห็นรอยขูดบนหินเป็นคำต่อไปนี้ แล้วมันจะผ่านพ้นไปเช่นกัน

         คำเหล่านี้ทำให้เขาผ่านพ้นไปได้ เช่นเดียวกับที่มันคงได้ช่วยค้ำจุนนักโทษคนก่อนหน้าเขา ไม่ว่ามันจะยากเย็นแสนเข็ญอย่างไร เขาจะมองดูคำจารึกนั้นและจดจำไว้ 'แล้วมันจะผ่านพ้นไปเช่นกัน' วันที่เขาได้รับการปล่อยตัว เขาตระหนักถึงสัจธรรมของคำเหล่านี้ เวลาจองจำของเขาสิ้นสุดลงแล้ว คุกได้ผ่านพ้นไปแล้วเช่นกัน

         เมื่อเขาได้ชีวิตคืนกลับมา เขายังพิจารณาตรึกตรองถึงข้อความนั้นอยู่เสมอ เขียนมันไว้บนเศษกระดาษต่างๆ ทิ้งไว้ข้างเตียง ในรถ และที่ทำงาน แม้ในเวลาย่ำแย่ เขาก็ไม่เคยท้อแท้ เขาเพียงแค่ระลึกว่า 'แล้วมันจะผ่านพ้นไปเช่นกัน' แล้วยืนหยัดสู้ต่อไป ช่วงเวลาที่ย่ำแย่เหล่านั้นไม่เคยที่จะยาวนานเกินทน และแล้วเมื่อเวลาดีๆ มาถึง เขาจะมีความสุขกับมัน แต่ไม่เคยประมาทเกินไป เขายังคงระลึกอยู่ว่า 'แล้วมันจะผ่านพ้นไปเช่นกัน' เขาดำเนินชีวิตโดยไม่ประมาท ดูเหมือนว่าช่วงเวลาดีๆ ของเขาจะยาวนานเป็นพิเศษ

         แม้เมื่อเขาเป็นมะเร็ง ข้อความ 'แล้วมันจะผ่านพ้นไปเช่นกัน' ให้ความหวังแก่เขา ความหวังก่อให้เกิดความเข้มแข็งและทัศนคติที่ดีงาม ซึ่งสามารถเอาชนะโรคได้ วันหนึ่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญยืนยันว่า เจ้ามะเร็งได้ผ่านพ้นไปแล้วเช่นกัน

         วันสุดท้ายในชีวิตของเขา บนเตียงที่เขากำลังจะตาย เขากระซิบบอกทุกๆ คนที่เขารักว่า "แล้วมันจะผ่านพ้นไปเช่นกัน" แล้วเขาก็จากไปอย่างสงบ คำพูดของเขาเป็นของขวัญแทนความรักชิ้นสุดท้ายที่เขาได้มอบให้แก่ครอบครัวและเพื่อนๆ ของเขา ทุกๆ คนได้เรียนรู้จากเขาว่า 'แล้วความเศร้าโศกจะผ่านพ้นไปเช่นกัน'

         ความซึมเศร้าเป็นเรือนจำที่พวกเราหลายๆ คนจะต้องผ่านเข้าไป 'แล้วมันจะผ่านพ้นไปเช่นกัน' จะช่วยให้เราผ่านพ้นมันไปได้ นอกจากนี้มันยังช่วยให้เราหลีกเลี่ยงสาเหตุสำคัญของการซึมเศร้าที่เกิดจากความประมาทในช่วงดีๆ ของชีวิตอีกด้วย

         คัดลอกมาจากหนังสือ 'ชวนม่วนชื่น' ธรรมะบันเทิงหลายเรื่องเล่า โดย พระอาจารย์พรหม แปลจากหนังสือภาษาอังกฤษ ชื่อว่า 'Opening the Door of Your Heart' เป็นหนังสือที่อ่านสนุก และได้ข้อคิดดีๆ มากมาย รับรองว่าถ้าใครได้อ่านต้องได้หัวเราะออกมาดังๆ กับเรื่องสนุกๆ ที่ผู้เขียนได้เล่าไว้อย่างแน่นอน ^o^ ไม่แน่ใจว่าตอนนี้จะยังมีขายอยู่รึเปล่า เพราะพิมพ์ตั้งแต่ปี 2549 ถ้ามีเวลาจะนำเรื่องอื่นๆ มาลงให้ได้อ่านกันอีกนะจ้ะ

9.11.53

สิ่งดีๆที่มหิดล (ศาลายา)

   ใครบางคนได้กล่าวไว้ว่า "การอ่านคือรากฐานที่สำคัญ" สำหรับคนที่หลงรักการอ่านอย่างหัวปักหัวปำก็คงจะเห็นด้วยกับประโยคดังกล่าว เพราะเวลาที่เรานั่งลงอ่านหนังสือดีๆสักเล่ม สิ่งที่เราได้นอกเหนือจากความเพลิดเพลิน เรายังได้มีจินตนาการอันกว้างไกล แรงบันดาลใจอันบรรเจิศ และอารมณ์สุขอันเกิดจากปัญญา ท่าน ว. เคยกล่าวไว้ว่า ความสุขของคนเรามีหลายระดับ และระดับหนึ่งที่นักวิชาการส่วนใหญ่ได้รับคือ ความสุขจากปัญญา ปัญญาที่ช่วยให้คนเราสามารถเลี้ยงชีวิตให้อยู่รอด และช่วยสร้างความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ปัญญาดังกล่าวก็ได้มาจาก "หนังสือ" และสถานที่ที่นักอ่านชอบไปก็คงจะหนีไม่พ้น "ห้องสมุด" ^o^ 

        วันนี้เลยถือโอกาสพาหนอนหนังสือทั้งหลายไปชม "ห้องสมุด" ที่เปิดให้บริการฟรี บรรยากาศดี และเสียงไม่ดัง นั่นก็คือ ห้องสมุดของมหาวิทยาลัยมหิดล ที่มาของการไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดนี้ ก็เพราะต้องนั่งเป็นเพื่อนน้องหัดขับรถไปม. เลยถือโอกาสไปนั่งอ่านหนังสือสอบ TOEIC ด้วยเลย สิ่งที่ประทับใจที่สุด คงจะเป็นความใจกว้างของทางม. ที่นอกจากจะเปิดห้องสมุดให้บุคคลภายนอกเข้าฟรีแล้ว ยังมีบริการรถจักรยานให้ขี่ฟรี รอบม. ด้วย สมแล้วกับคำขวัญที่ว่า "Wisdom of the Land" ปัญญาของแผ่นดิน ตามไปดูบรรยากาศกันเลยดีกว่า เผื่อว่าใครว่างๆ สนใจจะไปนั่งอ่านหนังสือชิวๆ ^o^

 ทางเข้าหอสุมด หอสมุดที่นี่มีทั้งหมด 3 ชั้น
ชั้นแรกเป็นหนังสือวารสารต่างๆ
ชั้นที่สองเป็นหนังสือด้านวิทยาศาสตร์
ชั้นที่สามเป็นหนังสือด้านมนุษยฯและสังคม
 เข้าไปจะเจอโซน MUSIC ก่อน เป็นเวทีจัดเสวนาต่างๆ ตลอดทั้งวันจะมีการเปิดเพลงเพราะๆ คลอเบาๆ
 โซนจัดแสดงหนังสือมาใหม่
 ที่นั่งพักดื่มน้ำ
 ให้บริการคอมพิวเตอร์สำหรับนักศึกษามหิดล
 บริเวณที่นั่งเล่นของวิทยาลัยนานาชาติที่อยู่ติดกับหอสมุด
 Quiet Zone เป็นโซนอ่านหนังสือที่เงียบมากจริงๆ ^o^ Confirm!
 ภายในบริเวณ Quiet Zone ^o^
 เวลาทำการของห้องสมุด

        วันที่ไปเป็นวันศุกร์พอดี เลยได้ไปเดินตลาดนัดสีเขียวที่ทางม. จัดให้คนมาขายของตั้งแต่เช้าประมาณ 8 โมง ไปจนถึงประมาณบ่าย 2 ของทุกวันศุกร์ เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า และอาหารการกินเยอะแยะมากมาย นึกว่าตัวเองเดินอยู่วังหลัง 555 ที่ชื่อว่า "ตลาดสีเขียว" ก็เพราะว่าเป็นการรณรงค์ไม่ใช้โฟมและถุงพลาสติก ใช้ใบตองใส่อาหาร และลดใช้พลาสติกต่างๆ ถือว่าเป็นไอเดียที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ช่วยลดภาวะโลกร้อนได้ดีทีเดียว



ทอดมันปลากรายสมุนไพรในเรือใบตอง

 ถังขยะทุกที่ในม.เป็นแบบนี้หมดเลย

        ที่นี่มีจักรยานฟรีให้บริการด้วย อะไร อะไรก็ฟรีไปหมด ชอบจัง จักรยานฟรีที่นี่เป็นสีขาวทุกคัน และทุกคันก็จะมีป้ายทะเบียนติดไว้ด้วย พบเห็นได้ทั่วไป พอเห็นปุ๊บก็สามารถลากไปขี่ได้ทันทีเลย แต่ว่าต้องมองหาคันดีๆ นานหน่อยนะ เพราะว่าจักรยานฟรีส่วนใหญ่ที่เห็นจะอยู่ในสภาพที่ยางแบนบ้าง โซ่หลุดบ้าง ตาดีได้ตาร้ายเสียจริงๆ แต่เอาน่า ขึ้นชื่อว่าฟรี ก็ดีทั้งนั้นแหละ ว่ามั้ย 555 

 "ความสุขไม่จำเป็นต้องจ่ายแพง" ^o^ แล้วพบกันใหม่นะจ้ะ